สวัสดีครับทุกท่านหลังจากที่เราได้รู้กันไปแล้วว่าเจ้าของชำร่วยหรือของที่ระลึกที่เราเรียกกันว่า Souvenir นั้นคืออะไรกันไปแล้วคราวนี้เราก็จะมาพูดถึงเรื่องของการแจกของชำร่วยกันบ้างครับว่างานไหนหรือกรณีไหนที่เขามักจะแจกของชำร่วยกันบ้าง

                ความพิเศษอย่างหนึ่งของการแจกของชำร่วยก็คือมันนั้นสามารถแจกได้ทุกงาน ทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นงานทั่วไปเปิดตัวสินค้า งานปฐมนิเทศเปิดการศึกษาใหม่ งานปัจฉิมนิเทศจบการศึกษา งานมงคลเช่นงานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญร้าน ทำบุญบ้าน ทำบุญโรงเรียน งานอวมงคลเช่นงานศพ งานกงเต็ก งานลอยอังคาร งานครบรอบวันตาย สามารถแจกของชำร่วยเพื่อเป็นที่ระลึกได้หมดครับตามแต่เจ้าภาพหรือคนจัดงานต้องการครับ

ปัจจุบันการหาซื้อของชำร่วยเพื่อมาแจกในงานหาง่ายกว่าแต่ก่อนมากครับแถมยังมีราคาถูกดังนั้นจึงทำให้คนส่วนใหญ่เมื่อจัดงานก็มักจะแจกของชำร่วยกัน

สำหรับใครที่ชอบซื้อของตามห้างดังก็มักจะรู้จักกับสินค้าพรีเมี่ยมกันเป็นอย่างดี แต่สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าของพรีเมี่ยมมันเป็นแบบไหนหรือว่าทำมาจากอะไร วันนี้เราก็จะไขข้อสงสัยให้กับทุกคนกันให้หายข้อใจกันได้เลย ของพรีเมี่ยมหรือสินค้าระดับพรีเมี่ยมนั้นก็หมายถึง สินค้าที่มีชื่อเสียงหรือมีระดับที่ดีที่สุด

สำหรับสินค้าบางประเภทที่มีแบรนดังๆก็ยังไม่เป็นของ พรีเมี่ยมอยู่ดี นั้นก็หมายความว่าสินค้านั้นยังไม่ได้รับการรับรองที่เป็นมาตรฐานของสินค้านั้นเอง
ด้วยรูปแบบของที่ขึ้นซื้อว่าของพรีเมี่ยมนั้นจะต้องเป็นสินค้าที่ผลิตมาจากวัตถุดิบคุณภาพหรือเกรดAAเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือรองเท้า นาฬิกาข้อมือ หรืออื่นๆที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้เล็กๆน้อย ก็จะถูกจัดคุณภาพเพื่อให้ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคนั้นได้รับแต่สินค้าที่ไม่ถูกเลียนแบบมาหรือทำมาจากวัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพ สำหรับอันตรายของสินค้านี้ที่ดูยากที่สุดนั้นก็คือของย้อมแมว โดยการนำเอาของเก่ามาขัดสีหรือทำสีให้เป็นของใหม่ ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายนั้นจะดูแทบไม่ออกเลย
ผู้ที่ผลิตสินค้านั้นจึงต้องมีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและสามารถยืนยันว่าสินค้านี้ออกมาจากโรงงานผลิตของแบรนนั้นจริงๆ สำหรับวิธีการดูคือสินค้าบางตัวจะมีหมายเลขหรือบาร์โคตอยู่ หากสินค้าออกมาจากโรงงานผลิตของแบรนนั้นก็จะต้องกับรหัสของเครื่องหมายการค้านั้นๆ สำหรับใครที่อยากจะซื้อของพรีเมี่ยมก็สามารถเข้าไปเลือกซื้อกันได้ตามนี้เลย รับรองเลยว่าหากคุณสังเกตตามนี้ก็จะสามารถได้ของพรีเมี่ยมจริงๆมาใช้อย่างแน่นอน

ขณะนี้กระแสสะพายกระเป๋าแฟชั่นขนาดโอเวอร์ไซส์กำลังฮอต ทั้งบนรันเวย์ หรือบนสตรีทแฟชั่น แต่ทราบไหมว่า การสะพายกระเป๋าแฟชั่นใบโต เป็นตัวการเกิดโรคตามมาสารพัดตั้งแต่ศรีษะ จรดปลายเท้า ทั้งแบบชั่วคราวหรือเรื้อรัง

หากคุณเป็นสาวออฟฟิศ ที่เริ่มมีออาการปวด เมื่อย บริเวณ ต้อคอ บ่า และไหล่ แบบไม่ทราบสาเหตุ ลองสังเกตุตัวเองว่าสะพายกระเป๋าใบใหญ่เป็นประจำใช่หรือไม่ และมีน้ำหนักมากเกินไปใช่หรือไม่
หากใช่ นั่นคือความเสี่ยงต่อการทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ บ่า และไหล่ รวมถึงกล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่น และอ่อนแอ ไม่แข็งแรง หรือหากหนักขึ้นๆ อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อฉีก หรือถ้าเราเคลื่อนไหวมากเกินความยืดหยุ่น ก็อาจทำให้รู้สึกเมื่อยล้า และอ่อนเพลียได้
นอกจากขนาดของกระเป๋าแฟชั่นแล้ว น้ำหนักของกระเป๋าก็มีส่วนอย่างมาก จะว่าไปอาจสำคัญกว่าไซส์ด้วยซ้ำไป ใครที่มักสะพายกระเป๋าหนักๆ ต่อเนื่องตลอดทุกวัน อาจก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพ
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกมีข้อแนะนำไว้ว่า 1) ต้องเลือกใช้กระเป๋าขนาดพอดี 2) นำของติดตัวเฉพาะที่จำเป็น ทั้งนี้ โดยน้ำหนักของกระเป๋าไม่ควรเกิน 10% ของน้ำหนักตัว ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ จึงควรสะพายกระเป๋าสลับข้างไปมาบ้าง อาจสลับทุกสามสิบนาที หรือทุกๆ หนึ่งชั่วโมง หรือหาว่ารู้สึกปวดเมื่อย หรือชาบริเวณที่สายสะพายกดทับ
นอกจากนี้ ยังมีท่าบริหารกล้ามเนื้อบ่า มาฝากสาวๆ ที่กำลังมีอาการเกร็งปวดกันด้วย .. ท่ายืดเหยียดลำคอไปด้านข้าง ด้วยการเอียงคอไปด้านข้าง ซ้าย และขวา ก้ม และ เงย และท่าเสริมสร้างความแข็งแรงลำคอด้านข้าง ด้วยการการยืนหรือนั่ง คอตรง แล้วใช้มือข้างหนึ่งวางไว้เหนือใบหู แล้วออกแรงดันดันหัวไปด้านตรงข้าม และเกร็งคอต้านไว้ ทำทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
หากยังไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์